ถ้าผมลองพูดถึงคำว่า Brand Advocacy จะมีสักกี่คนที่รู้จักและให้ความสนใจคนกลุ่มนี้กันครับ จะว่าไปมันก็คงไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่มักจะไม่คุ้นเคยหรือรู้จักคนกลุ่มนี้กันมากนัก เพราะพวกเขาไม่ได้เป็นคนดังที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก แต่จุดเด่นของคนกลุ่มนี้คือ “การเป็นกองเชียร์” หรือพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือผู้ที่สนับสนุน แบรนด์ที่ตัวเองรักโดยที่แบรนด์ไม่ต้องออกเงินจ้างให้พวกเขาโปรโมตสินค้าหรือบริการสักบาทเดียวเลยล่ะครับ
ดังนั้นมันจึงเป็นเหตุผลที่ผมอยากให้เจ้าของธุรกิจทั้งหลายให้มาให้ความสนใจกับคนกลุ่มนี้และศึกษาลักษณะของคนกลุ่มนี้ให้มากขึ้น เพราะการที่พวกคุณสามารถสร้าง BrandAdvocacy ให้กับแบรนด์ของคุณได้ มันจะช่วยลดในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการที่คุณจะต้องไปจ้าง Influencer มาช่วยโปรโมทสินค้าหรือบริการของคุณ และสามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้ดีกว่า Influencer ในระยะยาวอีกด้วยครับ
Hilights
- Influencer คือกลุ่มคนที่มีอิทธิในกลุ่มคนของตัวเอง เช่น คนดังหรือบุคคลที่ผู้ติดตามในโลกออนไลน์เยอะ ๆ แต่ BrandAdvocacy คือผู้สนับสนุนแบรนด์ที่เกิดการใช้สินค้าหรือบริการนั่นจริง และนำประสบการณ์ที่ดีมาบอกต่อ
- ด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภคออนไลน์ที่เปลี่ยนไป การเชื่อและเสพข้อมูลต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจซื้อเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งการแนะนำและบอกต่อของบรรดา BrandAdvocacy มักสร้างความน่าเชื่อถือ และดึงดูดกลุ่มคนที่สนใจสินค้าหรือบริการนั่นๆ จากการรีวิวของพวกเขาได้เป็นอย่างดี
- การบังคับไลก์หรือแชร์เพจเพื่อแลกกับส่วดลดไม่ได้เรียกว่าการสร้าง BrandAdvocacy แต่เป็น Bad Advocacy เพราะ BrandAdvocacy ที่แท้จริงคือการสร้างความประทับใจต่อลูกค้าจนพวกพวกเขาอยากบอกต่อ
Influencer แตกต่างกับ Brand Advocacy อย่างไร ?
ก่อนอื่นผมอยากสร้างความเข้าใจให้กับพวกคุณก่อนว่า Influencer และ BrandAdvocacy มันแตกต่างกันอย่างไร เพราะหลายๆ คนอาจคิดว่าคนสองกลุ่มนี้มีกระบวกการทำงานที่เหมือนกัน แต่ผมบอกเลยครับว่าทั้งสองกลุ่มนี้มีความแตกต่างในหลายๆ เรื่องที่ชัดเจนมากเลยล่ะครับ
- Influencer’s สามารถสร้าง Awareness จากการที่พวกเขามีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางบนโลกออนไลน์ก็จริง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะสามารถโน้มน้าวใจผู้ชมให้เกิดความสนใจสินค้าหรือบริการต่างๆ ได้ในระยะยาว
- Influencers จะช่วยเหลือแบรนด์ของคุณเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น (ช่วงที่คุณว่าจ้างพวกเขานั่นแหละครับ) ในขณะที่ BrandAdvocacy มีความกระตือรือร้นที่จะสนับสนุน และ ค่อยปกป้องแบรนด์ในระยะยาว บวกกับการมีคำแนะนำที่น่าเชื่อถือได้ของพวกเขา ทำให้มีผลในส่วนของช่องทางการซื้อ และสามารถผลักดันธุรกิจคุณให้ก้าวหน้ามากขึ้นด้วยครับ
- Influencers ส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์ในการสร้างฐานรายได้ผู้ติดตาม เพื่อเป็นการหารายได้ให้กับตัวเอง แต่ BrandAdvocacy มีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือเพื่อนในกลุ่มหรือคอมมิวนิตี้เดียวกันมากกว่า
การสร้างแบรนด์ Brand Advocacy ให้ลูกค้าประทับจนต้องบอกต่อโดยไม่ต้องบังคับ
หลายคนคงเคยเจอเหตุการณ์ที่เวลาไปร้านอาหารหรือร้านคาเฟ่ต่าง ๆ ทางร้านมักจะติดป้ายบอกไว้ว่า ถ้ากดไลก์เพจของร้านหรือถ่ายรูปเช็คอินพร้อมรีวิวให้พวกเขา ก็จะได้ส่วนลดหรือบริการสักอย่างที่พวกเขาจะมอบให้กับเราโดยที่ไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม
ซึ่งผมบอกเลยว่าการทำแบบนี้ไม่เรียกว่าการสร้าง BrandAdvocacy แต่เป็น Bad Advocacy มากกว่า เพราะพวกเขาไม่ได้พูดถึงสินค้าหรือบริการของคุณด้วยความเต็มใจ แต่เหมือนเป็นการทำไปงั้น ๆ แหละ แค่ได้ส่วนลดก็พอ คุณเชื่อไหมครับว่าหลังจากที่ได้ส่วนลดมาแล้วโพสต์นั้นก็จะถูกลบออกทันที เพราะผมก็เป็น นั่นเท่ากับว่าสิ่งที่คุณทำไปมันเสียต้นทุนโดยเปล่าประโยชน์โดยที่คุณจะไม่ได้อะไรกลับมาเลย
แล้วจะทำอย่างไรเพื่อให้เกิด Brand -Advocacy ที่แท้จริงล่ะ ?
ด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภคออนไลน์ที่เปลี่ยนไป การเชื่อและเสพข้อมูลต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจซื้อเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งการแนะนำและบอกต่อของบรรดา Brandadvocacy นี่เองที่จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและดึงดูดกลุ่มคนที่สนใจสินค้าหรือบริการนั่น ๆ จากการรีวิวของพวกเขาได้เป็นอย่างดีครับ
สิ่งที่ผมอยากแนะนำให้ทำ คือ การทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้ลูกค้าที่มาใช้บริการของคุณเกิดความประทับใจต่อคุณโดยที่พวกเขาไม่รู้สึกถึงการถูกบังคับให้ทำ เช่น
- ตอนจ่ายเงินคุณอาจมีข้อเสนอดี ๆ ให้กับลูกค้า “วันนี้เรามีส่วนลดพิเศษ 10 % สำหรับลูกค้าที่มาใช้บริการกับเรา” ถ้าเป็นคุณจะไม่แชร์เรื่องราวดี ๆ แบบนี้ให้คนอื่นรับรู้ได้เหรอครับ
- เปลี่ยนจากการที่ต้องบังคับให้ลูกค้าเช็คอินร้านพร้อมรีวิวหรือกดไลก์เพจเพื่อแลกขนม เปลี่ยนใหม่เป็นเมื่อลูกค้ามาเช็คบิลว่า “วันนี้ทางร้านมีขนมตัวใหม่พิเศษที่อยากให้คุณลอง และหวังว่าคุณลูกค้าจะช่วยรีวิวให้กับร้านเราด้วยนะครับ” แค่นี้ลูกค้าคงไม่ใจร้ายไม่รีวิวให้คุณหรอกครับ
- การทำสินค้าและบริการของคุณเองให้ดีเป็นมาตรฐานเดียวกันตลอด ไม่ว่าลูกค้าจะกลับมาหาคุณกี่รอบเขาก็ยังได้รับการปฏิบัติที่เหมือนเดิม และจะยิ่งดีกว่านั้นถ้าพนักงานในร้านจะจำสิ่งที่เขาชอบได้ก็ยิ่งทำให้พวกเขาประทับคุณเข้าไปได้อีกมาก ๆ เลยล่ะครับ
อย่างที่ทราบกันดีว่าผู้บริโภคในปัจจุบันพวกเขารู้ทันการตลาดในยุคนี้กันหมดแล้ว พวกเขาไม่ยอมเป็นเหยื่อการตลาดง่าย ๆ แบบเมื่อก่อนอีกต่อไป การที่จะทำให้พวกเขาเชื่อ และยอมตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการสักอย่างหนึ่งได้ แบรนด์ของคุณต้องมีความน่าเชื่อถือที่มากพอและมาจากคนที่พวกเขาเชื่อถือด้วย
ซึ่งหากคุณอยากเห็นผลในระยะยาวการจ้าง Influencer มันคงไม่ใช่ทางเลือกที่ผมอยากแนะนำสักเท่าไร เพราะนับวันก็จะเข้าโหมดของการเป็น Presenter หรือไม่ก็ Paid-Influencer เข้าไปทุกที และ ผู้ชมตอนนี้ก็เลือกเสพสื่อกันมากขึ้นวิธีนี้จึงอาจไม่ค่อยเห็นผลมากนักแต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่ดีซะทีเดียว
แต่ผมอยากแนะนำให้ธุรกิจของคุณสร้าง Brandadvocacy ให้ได้ นอกจากมันจะดีต่อธุรกิจของคุณในระยะยาวแล้ว การแนะนำและบอกต่อของคนกลุ่มนี้มักจะน่าเชื่อถือมากกว่า เพราะเกิดจากการรีวิวของลูกค้าที่ใช้สินค้าหรือบริการนั้นจริง ๆ โดยที่เจ้าของแบรนด์ไม่ได้จ้างแต่พวกเขาเต็มใจที่จะบอกต่อประสบการณ์ดี ๆ ที่พวกเขาได้รับให้คนอื่นได้รู้ นั้นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมคนกลุ่มนี้จึงน่าเชื่อถือ และ สามารถโน้มน้าวใจให้เกิดการตัดสินใจซื้อได้มากกว่านั่นเองครับ
เ ส ริ ม ค ว า ม รู้ เรื่อง Brand Loyalty ที่ เช็คให้ดี! ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำเพราะรักแบรนด์หรือแค่ไม่มีทางเลือก
ติดตามเรื่องราวของการตลาดออนไลน์ได้ในช่องทางต่อไปนี้
Web site : https://www.adsidea.net
Facebook : Adsidea ที่ปรึกษาการตลาดออนไลน์ สร้างยอดขายง่ายนิดเดียว
Line : http://line.me/ti/p/%40adsidea