วันนี้เราจะมาพูดถึง วิธีการลงโฆษณาบน Facebook สำหรับการทำธุรกิจ เป้าหมายของเราก็คงไม่พ้นการสร้างผลกำไร เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอด และ เติบโต
ยิ่งสำหรับกลุ่มธุรกิจ ความงาม เครื่องสำอาง อาหารเสริมด้วยแล้ว Facebook เป็นเหมือนช่องทางหลักในการสร้างผลกำไรเลยก็ว่าได้ ผมเห็นหลายคนพุ่งเป้าไปที่การเพิ่มงบโฆษณา เพื่อให้ยอดขายเพิ่ม ซึ่งจริงๆ แล้วการอัดงบโฆษณา ไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ทำให้กำไรเพิ่ม เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลากับผู้อ่านผมขอเข้าเรื่องเลย
4 ปัจจัยที่มีผลต่อ กำไร ในการยิงโฆษณาบน Facebook มีดังนี้
แยกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ คือตัวแปรเพิ่ม กับตัวแปรลด
ตัวแปรเพิ่มมีอยู่หลักๆ 3 ตัว
1. ปริมาณคนที่ทักเข้ามา
คือ จำนวนคนที่ติดต่อเข้ามา ไม่ว่าจะทาง Inbox หรือ LINE@ หรือ แม้แต่โทรมาก็ตามแต่ นับหมด ยกตัวอย่างเช่น
คุณมีคน Inbox มา 50 คน
ทักเข้ามาใน LINE@ 40 คน
โทรมาอีก 10 คน
จะรวมได้ 50+40+10 = 100 คน (ต้องนับจากโฆษณาทุกแคมเปญของวันนั้นรวมกัน)
สำหรับ EP ถัดไปจะมีทริคสำหรับการเพิ่มคนทัก(คนคุณภาพ) จากงบโฆษณาเท่าเดิมให้ด้วย รอติดตามนะครับ
2. อัตราการปิดการขาย
ข้อนี้เข้าใจง่ายมากคือ อัตราการปิดการขาย คิดง่ายๆ คือ
จากข้อ 1 คนทักเข้ามา 100 คน เราปิดได้กี่ % สมมติ 40% ก็เท่ากับว่าเรา ปิดการขายได้ 40 ออเดอร์
หากใครต้องการเพิ่มอัตราการปิดการขายให้ดีขึ้น สามารถคลิกอ่านได้ที่ 7 ข้อผิดพลาด ทำให้คุณปิดการขายไม่ได้
3. กำไรต่อออเดอร์ สำหรับ คนที่เป็นตัวแทน
สำหรับคนที่เป็นตัวแทนข้อนี้แหละ คือปัจจัยในการเลือกสินค้า สำหรับตัวแทนจำหน่ายสายยิงแอด คุณสต๊อกของมาในราคา 250 จากราคาขายปลีก 500 บาท
เท่ากับว่าคุณได้กำไรต่อชิ้น 500-250 = 250 บาท/ชิ้น
แต่ในคอร์สที่ผม สอนลงโฆษณาบน Facebook เราจะไม่แนะนำให้ขายครั้งละชิ้นเดียวอยู่แล้ว
จะมีสูตรการตั้งเรทราคาขายเป็นชุดพร้อมสับขาหลอก เพราะ ไม่ว่าคุณจะ ปิดการขายไม่ได้เลย หรือปิดได้ 1 ชิ้นต่อ 1 ออเดอร์ หรือแม้กระทั่ง 10 ชิ้นต่อ 1 ออเดอร์ คุณก็จะมีต้นทุนค่าโฆษณาเท่าเดิม เพราะฉะนั้นจะขายต้องขายให้คุ้ม
ตัวแปรลด
4. ต้นทุน
นอกเหนือจากสินค้ามีอะไรบ้าง ยังมีเรื่องของค่าใช้จ่ายที่ต้องคำนวณเพิ่มด้วย ลองเอามาคำนวณดีๆ นะครับ
ถ้าให้คิดหยาบๆ ก็ค่าโฆษณาที่จ่ายให้กับ Facebook นั่นแหละ แต่จริงๆ แล้วมันแฝงด้วย
ค่าจ้างแอดมิน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเตอร์เน็ต ค่าเช่าสำนักงาน สารพัดค่า (ถ้ามี)
หลายธุรกิจตกม้าตาย เพราะว่า คิดต้นทุนไม่ครบ เงินเดือนตัวเองก็ไม่มี อันไหนที่เราต้องควักเงินจ่ายออกไปนั้น คิดเป็นต้นทุนหมดเลยครับ
หลังจากเรารู้จักตัวแปรทั้ง 4 ตัวแล้วเรามาเข้าสูตรกัน
ซึ่งการพยากรณ์ยอดขายเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ด้านซ้ายก็ไม่ยาก
ตัวแปรที่คุณต้องทำให้ดีเพื่อให้ยอดขายเพิ่มคือ
- คนทักต้องเยอะในปริมาณที่คุณคาดหวัง ซึ่งมันก็จะสอดคล้องกับงบประมาณค่าโฆษณาที่ใช้ส่วนหนึ่งด้วย
- ทักมาแล้วต้องปิดการขายให้ได้ ซึ่ง ขึ้นอยู่กับ
2.1 ความแข็งแรงของ Sale Content ของคุณ
ว่าสามารถทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อเดี๋ยวนี้ได้หรือป่าว
2.2 ความสามารถในการปิดการขายของแอดมินของคุณว่าโน้มน้าวใจให้ลูกค้าโอนเงินได้มากแค่ไหน - ข้อนี้พูดไปแล้วครับ เรื่องการเลือกขายสินค้า ถ้าคุณทำ 2 ข้อแรกได้ดี แต่จัดการข้อ 3 ได้ไม่ดี เลือกสินค้าผิด หรือ ไม่ได้จัดการอัพเซล(สำหรับสินค้ากำไรต่ำ) บอกเลยคุณเหนื่อยแน่นอน มีลูกค้าผมเหมือนกัน
ขายสินค้ากำไรชิ้นละ 40 บาท จัดโปรซื้อ 3 ชิ้นส่งฟรี EMS ผมยังคิดเลย ขายแบบนี้เมื่อไรจะรวย เพราะคุณจะได้กำไร 1 ออเดอร์ ยังไม่ได้หักค่าแอดอะไรเลยนะ (40×3)-50 = 70 บาทเอง
สมมติยิงแอดแบบข้อความได้แอดนางฟ้าเลย 10 บาทต่อข้อความ
คนทักเข้ามาคุณปิดการขายได้ 50% เท่ากับคุณมีต้นทุนค่าแอด 20 บาทแล้ว
70-20 = 50 บาท ปิดการขายได้ 10 คนยังได้ 500 เอง แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้แบบนี้หรอก นี่มัน Ads ในอุดมคติที่ผมจะสื่อว่าคุณควรเลือกสินค้าที่มีกำไรที่คุ้มค่าเหนื่อย
บทความนี้ขอจบไว้แค่นี้พอให้เห็นภาพก่อน
เดี๋ยวครั้งหน้าผมจะมาขยี้เรื่อง การเพิ่มจำนวนคนทักโดยไม่ต้องเพิ่มงบโฆษณาให้แบบละเอียดนะครับ ซึ่งถ้าไม่อยากพลาดบทความเหล่านี้คุณสามารถ