วิธีสู้ศึกออนไลน์ 2019 สำหรับเจ้าของเเบรนด์

วิธีสู้ศึกออนไลน์ 2019

  วิธีสู้ศึกออนไลน์ 2019
สำหรับ เจ้าของธุรกิจ เครื่องสำอาง อาหารเสริม
ที่มีระบบตัวแทน
.
ยุคที่ใครๆ ก็พุ่งเข้าออนไลน์ มีแบรนด์ใหม่เกิดขึ้นเยอะมาก รับรองว่านี่ไม่ใช่พื้นที่ของมือสมัครเล่นแล้ว 
.
อะไรที่เคยได้ผลในปีที่ผ่านๆ มาอาจจะไม่ได้ผลอีกต่อไป
มาดูกันว่าวันนี้มีเรื่องไหนบ้างที่คุณต้องรูปก่อนข้ามไปปี 2019
.
ใครรู้จักหรือเป็นเพื่อนเจ้าของแบรนด์ TAG ให้คนที่คุณหวังดีได้เลย
ใครเป็นเจ้าของแบรนด์ เก็บไว้อ่านได้เลย

ขึ้นชื่อว่าการทำธุรกิจ ไม่ควรมีรายได้ทางเดียวอยู่แล้ว

การที่จะบิ้วแต่การตลาด รอแต่ยอดขายจากตัวแทนจำหน่ายอย่างเดียวก็ไม่ใช่ และมีความเสี่ยงพอสมควรเลย

หลายแบรนด์หันมาศึกษาการขายเองผ่านยิงโฆษณา ตั้งทีมแอดมินปิดการขายประจำ Office แบบจริงจังแล้ว

ประเด็นนี้เป็นอะไรที่ค่อนข้างเซนซิทีฟ ต้องมีการสื่อสารที่ดีกับคนในแบรนด์

ในมุมมองของผม คิดว่าไม่ใช่การขายแข่งตัวแทนแต่อย่างใด

ยกเว้นกรณีคุณสัญญากับตัวแทนไว้แล้วว่าจะไม่ขายปลีกเลย และ ถ้าไม่ขายปลีก ก็ต้องตามมาด้วยเงื่อนไขของการสต๊อก หรือรับประกันยอด (#ระบบผูกขาดมีเงื่อนไขเสมอ)

ถ้าไม่มีเงื่อนไข การสต๊อก หรือรับประกันยอด แล้วตัวแทนทำยอดไม่ได้เลย หรือทำยอดได้น้อยมากๆ แบบนี้แบรนด์ก็ไม่รอด อย่าลืมว่าคุณมีต้นทุนต่างๆมากมาย รวมถึงต้นทุนทางการตลาดที่ต้องใช้อยู่ตลอด

ในวิธีคิดของผมคือทำแบบไฮบริด
2 ระบบไปเลย
1. ทั้งระบบตัวแทนจำหน่าย
2. มีแอดมินตอบเพื่อปิดการขาย

แต่เงื่อนไขราคาขายและโปรโมชั่นควรจะอยู่ภายใต้ข้อตกลงเดียวกันเพื่อความแฟร์

จริงๆ แพลตฟอร์มออนไลน์มีเยอะมากครับ

อย่าทำกันแค่แพลตฟอร์มเดียว กระจายโอกาส กระจายความเสี่ยงบ้าง เปรียบเสมือน ถังน้ำ ควรมีหลายใบ

ใบไหนแตกไป เรายังก็เหลือใบอื่นไว้ใช้ครับ 
แต่ถ้ามีถังใหญ่ใบเดียวหละก็ ถังใหญ่แตกคือคุณจบหมดกัน

พยายามหาช่องทางใหม่ๆ บ้าง

ตอนนี้ Website Sale Page,
กับ Youtube ก็มาแรงมาก

วางกลยุทธ์พาตัวแทนไปบุกดีๆ สิ รับรองปังง่ายขึ้นเยอะ

ตัวแทนไม่ต้องเน้นปริมาณครั

“เน้นคุณภาพ” แทน

การมี คนคุณภาพ ทำงานรวมกัน ไม่กี่ 10 คน บางครั้งทรงพลังมากกว่า การมีแต่ตัวแทนในนามเป็นพันๆ คน แต่ไม่ Active เลย

บริหารให้ได้คนทำงานจริงๆ และค่อยๆ ขยายครับ ถ้าคนที่มีอยู่แน่นพอ เก่งพอ เป็นสภาพแวดล้อมคนเก่า เป็นคนมีไฟ

คนที่เข้ามาใหม่ จะปรับตัวตามสภาพแวดล้อมเอง

เรื่องเงินเรื่องใหญ่

ทำบัญชีดีกว่า จะได้รู้ว่า เงินส่วนไหนเป็นส่วนไหน
และสามารถเปย์ตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน

เพราะบางคนตอนขายได้ขายดี ไม่ได้แยกเลยอันไหนต้นทุนอันไหนกำไร เปย์ตัวเอง ของแบรนด์เนมเอย รถเอย

สุดท้ายไม่เหลือเงินเอาเงินไปต่อยอด

หยุด “ถลุง” งบการตลาดแบบปูพรมได้แล้วครับ

ยุคนี้การใช้เงิน เราต้องเน้นใช้อย่างฉลาด ผ่านการวางแผน และ การตั้ง KPI ให้ชัดเจน ว่าถ้าทุ่มงบตรงนี้เราจะได้อะไรบ้าง

และใช่ว่าแผนที่เราคิดทุกแผนจะทำแล้วเวิร์ค ควรมีแผนสำรอง มีแผน A แผน B อยู่เสมอ เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้

.

ยุคที่ Influencer ตัวใหญ่ๆ เริ่มไม่ได้ผล

หรือบางครั้งไม่คุ้มค่ากันเลย

หลายๆ เทรน 2019 บอกเลยครับ “Micro Influencer”
มาแน่ … จริงๆ เค้ามาตั้งนานแล้ว แต่ 2019 นี้จะแรงมาก เราจะมาดู วิธีสู้ศึกออนไลน์ 2019

การจะทำให้ลูกค้าเชื่อจริงๆ ใช้คนดังคนเดียวอาจจะไม่ได้ผลแล้ว บางครั้งคนธรรมดาใกล้ตัวคุณ ใกล้ตัวกลุ่มเป้าหมายคุณ (ที่เรียกว่า Micro Influencer) และมีจำนวนเยอะพอจะทำให้ลูกค้าสนใจ แบรนด์ของคุณ และ เชื่อได้มากกว่า

รีบๆ เข้าก่อนตลาดวายนะจ๊ะ

.

จริงๆ ข้อนี้เป็นกันแทนทุกแบรนด์

พอถามว่า มีตัวแทนกี่คน ตอบเลยแบบตัวเลขเป๊ะๆกันไม่ค่อยได้เลยครับ

ยิ่งไปกว่านั้น ยังขายอยู่กี่คนยิ่งตอบไม่ได้ใหญ่

พื้นที่ไหนขายดี ก็ได้แค่บอกตามความรู้สึก

ตัวแทนอยู่จังหวัดใหญ่เยอะ ก็ไม่รู้

เวลาทำการตลาดเราไม่ข้อมูลพวกนี้ก็ปูพรม ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำเหมือนเดิม

บางแบรนด์ฐานข้อมูลตัวแทนยังไม่ได้เก็บเลย
อยู่ที่แม่ทีมเก็บไว้หมด แม่ทีมเลิกขายก็หายหมด

ตรงนี้เจ้าของแบรนด์ถ้าไม่รู้จะเริ่มตรงไหน
อยากได้ระบบบริหารจัดการตัวแทนก็ทักเข้ามาปรึกษาได้นะครับ เรามีระบบไว้รองรับการทำงานอยู่

.

เจ้าของแบรนด์หลาย ๆ คน ชอบทำเองทุกอย่างเลยครับ

หลายคน เก่ง และ ลงคอร์สมาเยอะมาก …
แต่อย่าลืม การจะเป็นนักธุรกิจที่ดี คือการ บริหารงาน
และ บริหารคน ไม่ใช่การทำงานในระดับปฏิบัติการ

เพราะไม่ว่าเราจะเก่งแค่ไหนก็มี limit ทำงานคนเดียว
วันหนึ่งคุณป่วยจะทำยังไง วันไหนอยากหยุดไปเที่ยวจะทำได้ไหม

การที่จะขยายธุรกิจได้ดี เราควรมีทีมที่เก่งในด้านต่างๆ มาช่วยครับ เพราะเราไม่สามารถทำทุกอย่างให้ดีพร้อมกันได้ด้วยคนเดียว ภายในเวลาเดียวกัน

.

มาๆ ผมจะบอกข้อดีของทั้ง 2 อย่าง

In House นะ
ข้อดีตรงที่
1. คุณเรียกงานได้แบบบุฟเฟ่ต์ ใกล้ชิดสื่อสารง่าย (มั้ง) ทีมงานเข้าใจธุรกิจดี

ข้อเสียมันก็มีตรงที่
1. ด้วยความที่ทีมเล็ก และทำงานเฉพาะทาง ทำให้มุมมองการทำงาน ไม่เหมือนทีม Agency ใหญ่ๆ ที่ผ่านงานและการแก้ปัญหามาแบบโชกโชน

2. มีความเสี่ยงในการ Turn Over ของพนักงานด้วย
แบบว่าทำงานมาซักพัก กำลังเข้าฝัก ส่งไปเทรนส่งไปเรียนมาจนเก่ง ซักพักลาออก แบบนี้งานเข้าเลย

——————–
มาที่ข้อดีของการจ้าง Agency กันบ้าง
ข้อดี
1. เนื่องจาก Agency ทำงานด้านนี้โดยตรง จะค่อนข้าง
อัพเดตเทรนอยู่ตลอด และ มีความเชี่ยวชาญพอสมควร
ถึงแม้จะไม่ได้รู้จักแบรนด์ของคุณมากเท่าคุณและคนที่อยู่ประจำ Inhouse แต่ถ้ามีการสื่อสารที่ดีพอระหว่าง 2 ฝ่าย งานก็ออกมาดีได้เหมือนกัน

2. ไม่เสียงเรื่อง Turn Over หรือ Fixed Cost
ถ้าไม่เวิร์คก็เปลี่ยนเจ้า สามารถใช้งานหลายทีม เพื่อวัดผล A/B Testing ได้ด้วย

ข้อเสียคือ
1. มีขอบเขตงานตามเงื่อนไขการจ้าง ไม่สามารถผลิตงานให้คุณแบบบุ๊ฟเฟ่แล้วจ่ายเงินเดือนได้
2. ถ้าสื่อสารระหว่างกันไม่ดี จะทำให้ทิศทางการทำการตลาดผิดไปเลย

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า