ใครที่กำลัง ซื้อโฆษณาบน Facebook อยู่ เลื่อนผ่านคือพลาด
การที่จะทำ ซื้อโฆษณาบน Facebook แล้วปัง มีคนให้ความสนใจมากมายนั้น จริง ๆ แล้วเกิดจากความตั้งใจล้วน ๆ ครับ ไม่ต้องอาศัยความ “ฟลุ๊ค” เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นเหตุและเป็นผลกันครับ
.
เช่น
– ภาพและคำในภาพที่ใช้ หากไม่โดนใจ… ใครจะอยากคลิก?
– หากการเลือกกลุ่มเป้าหมายไม่ดี คนเห็นสื่อก็ไม่อยากซื้อ คนซื้อก็ไม่อยากเห็น
– หากเนื้อหาที่นำเสนอไม่ดี ถึงเลือกกลุ่มเป้าหมายได้ตรง เห็นแล้วก็อยากปิดโฆษณาไปดูอย่างอื่นดีกว่า
– หากสินค้าไม่น่าสนใจ ต่อให้ทำเนื้อหาให้ดีแทบตาย แต่สินค้ามันไม่ใช่ ก็ไม่มีการซื้อเกิดขึ้น
.
และนี่ก็เป็นเพียงตัวอย่าง ยังมีข้อผิดพลาดอีกมากมายที่ทำให้ เราซื้อโฆษณากันแล้ว โฆษณาก็ยังไม่ปังเท่าที่ควร
.
เอาล่ะลองไปดูกันว่ามีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง แล้วลองกลับไปเช็คโฆษณาของคุณทีละข้อเลยนะครับ
1.กลุ่มเป้าหมาย เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้โฆษณาสำเร็จ
ยิ่งเราเลือกกลุ่มเป้าหมายที่ไม่ใช่ เหมือนเราเอาเงินไปเผาทิ้งครับ
หรือ ถ้าเราเลือกกลุ่มเป้าหมายที่กว้างเกินไป ไร้การ โฟกัส เช่น คุณลงโฆษณาวันละ 1,000 บาท
คนเห็น 10,000 คน
เป็นลูกค้าที่สนใจสินค้าของคุณจริง ๆ แค่ 100 คน
แปลว่าอีก 9,900 คน คุณจ่ายเงินทิ้งนี่ครับ
ใช่แล้วครับ… คุณกำลังทิ้งเงินไปวันละ 990 บาท ทุก ๆ วัน จากสาเหตุนี้
2.โฆษณาบน Facebook เป็นการทำโฆษณา แบบ Push Marketing คือ
ส่งเนื้อหาไปสร้างความอยาก สร้างความต้องการกับกลุ่มเป้าหมายที่เห็น เนื้อหาโฆษณานั้นๆ
ให้คลิกเข้ามาดู สอบถาม และสั่งซื้อ
ถ้าคุณไม่ลงทุนกับการทำ Content เนื้อหาไม่น่าสนใจ
ต่อให้โฆษณาตรงกลุ่มเป้าหมาย แต่ Content ไม่ตรง
ไม่ดึงดูดก็เสียเงินฟรีครับ
3.สินค้าบางอย่าง ไม่สามารถตัดสินใจซื้อกันได้ภายในครั้งแรก
กระบวนการซื้อมีทั้ง
รู้จัก > เปรียบเทียบ > ซื้อ > ซื้อซ้ำ
คุณมี “ซี่รี่ส์” ของเนื้อหาโฆษณา เตรียมไว้สำหรับการตัดสินใจในแต่ละขั้นตอนรึยังครับ
ลูกค้าแต่ละคนมีประสบการณ์ ณ เวลานั้นต่างกัน
แน่นอนเราไม่สามารถใช้โพส ๆ เดี๋ยวยิงไปแล้ว ทำให้ทุก ๆ คนสนใจได้แน่นอน เนื้อหาบางอย่างเหมาะกับบางคนเท่านั้น และทุกคนก็ไม่จำเป็นต้องเห็นเนื้อหาทุกอย่างที่คุณมี
ข้อนี้สำคัญมาก ๆ นะครับ.. เรียกว่าเป็นกลยุทธ์ที่จะทำให้คนมาซื้อเลยก็ว่าได้
4.ง่ายๆนะครับ
การทำโฆษณา ไม่มีทางแน่นอนที่เราจะฟันธงได้ 100% ว่า โฆษณาอันนี้คือที่สุดแล้ว
ถามว่าทุกคนตั้งใจทำ Sale Content ไหม … คือ ตั้งใจหมดแหละครับ
แต่ถามว่า ระหว่าง
“ตั้งใจที่สุดครั้งที่ 1” กับ “ตั้งใจที่สุดครั้งที่ 2”
เราจะรู้ได้ไงล่ะ ว่าอันไหนจะปังกว่ากัน
ยกตัวอย่าง เช่น
แบบที่ 1 ไม่ทำการทดสอบ A/B Testing
ผมลงโฆษณาเนื้อหาที่ 1 ด้วยงบ 1,000 บาท เป็นระยะเวลา 5 วัน มีคนทักเข้ามาวันละ 20 คน
….. คิดว่าผลลัพธ์ไม่ค่อยดี …
งั้นเปลี่ยนมาทำเนื้อหาที่ 2 ด้วยงบ 1,000 เท่ากัน เป็นระยะเวลาอีก 5 วัน ดีขึ้น มีคนทักเข้ามาวันละ 100 คน
รวมแล้ว เพจผมมีคนทักเข้ามา 600 คน ในเวลา 10 วัน
—————————————-
แบบที่ 2 ทำการทดสอบ A/B Testing
ผมลงโฆษณาเนื้อหาที่ 1 ด้วยงบ 1,000 บาท
แบ่งเป็น 2 AD SET (ชุดโฆษณา)
เนื้อหาที่ 1 มีคนทัก 20 คน
เนื้อหาที่ 2 มีคนทัก 100 คน
วันแรกได้คนทัก 120 คน
เสร็จแล้วผมรู้แล้วว่าอันไหนปังกว่า ผมปิดอันที่ 1 ทันที
อีก 9 วัน ผมเปิดอันที่ 2 อย่างเดียวเลย
มีคนทักใน 9 วันนี้เฉลี่ยวันละ 100 คน
สรุป มีคนทักมาสอบถามรวม 1,020 คน ในเวลา 10 วัน
—————————————-
สั่งเกตุว่า 2 วิธีการนี้ใช้เงินเท่ากันนะครับ แต่ผลต่างกันเยอะมากครับ… แล้วลองคิดตามว่าหากคุณใช้งบโฆษณามากกว่านี้ล่ะ โอกาสที่คุณจะเสียเงินและเสียโอกาสในการขาย จะมากขนาดไหน
5.โฆษณายิ่งถูกยิ่งดีจริงหรือ?
จริงๆ ไม่มีถูกผิด 100% ครับ
ต้องใช้ข้อมูลอื่นๆ ประกอบด้วย
เช่น ปริมาณ อัตราคลิก ปริมาณคนทักเข้ามาสอบถาม และสำคัญที่สุด ยอดขายที่ได้ครับ
บางครั้งเรายิงไปกลุ่มเป้าหมายกว้าง ๆ ได้ต้นทุนที่ถูกมาก แต่ไมได้ยอดขายเลยครับ
บางคนยิงเข้าไปใน Audience Network ต้นทุนก็ถูกมาก ๆ แต่คนทักเข้ามาสอบถามน้อยมาก ก็มีเช่นกัน
อย่าหลงไปกับค่าโฆษณาที่ถูกอย่างเดียวครับ ทำอะไรก็ตามแต่ … อย่าลืมว่าเราต้องกลับไปโฟกัสกันที่ยอดขายนะครับ
6.เห่อของใหม่ใช้ ทุก Function
บอกเลยครับ ว่าธุรกิจของเราไม่ได้เหมาะกับโฆษณาทุกประเภท
ยกตัวอย่างเช่น Lead AD(โฆษณาแบบกรอกแบบฟอร์ม)
ซึ่งโฆษณาประเภทนี้ต้นทุนจะค่อนข้างสูง เช่น
การจะทำให้คนๆ หนึ่งยอมกรอกแบบฟอร์ม ผมสมมติ
ต้นทุนต่อการกรอกแบบฟอร์ม 1 คนอยู่ที่ 30 บาท
คุณขายครีม กำไร ชิ้นละ 100 บาท
ถ้าคนกรอกมา 3 คน ที่ไม่สั่งซื้อเลยหละ
หรือกรอกมา 4 คน แต่สั่งซื้อจริงๆ แค่ 1 คน จะทำอย่างไร
แต่กลับกันถ้าคุณขายคอนโด ขายบ้าน
ต้นทุนต่อผู้มุ่งหวัง 50 บาท ต่อการหาคนมาโทรนัดเยี่ยมชมโครงการถือว่ารับได้ เพราะสินค้า กำไรสูงมากครับ ขายได้ต่อหน่วยกำไรเป็นล้าน
เพราะฉะนั้นไม่ใช่อะไรใหม่มาใช่หมด
แต่ต้องดูด้วยว่าเหมาะกับเราหรือไม่
7.อันนี้คนถามเยอะมาก
มีหลายคนถามผมว่า ตอนนี้มียอดขายวันละ 10,000 บาท
ลงโฆษณาวันละ 500 บาท
ถ้าเปลี่ยนเป็นลงโฆษณาวันละ 1,000 จะได้ไหม
ผมบอกเลย มันไม่ได้คิดแบบนั้นครับ เพิ่มงบคือการเพิ่ม Rearch หรือคนเห็นเท่านั้น ยังมีองค์ประกอบอื่นๆ อีกเยอะมาก
8.ทำโฆษณาแล้วไม่วัดผล อันตรายมากนะครับ
แล้วสิ่งที่เราต้องวัดผลคืออะไรบ้างล่ะ
สำหรับผมแล้ว ผลจากรายงานการทำโฆษณาที่สำคัญ ๆ มีอยู่ไม่กี่อย่าง จากรายงานที่ Facebook มีให้ทั้งหมด
แต่สุดท้ายแล้ว.. ที่ควรวัดมากที่สุดคือ ROI หรือ ผลตอบแทนต่อการลงทุนของเรา ครับ
เช่น ใส่เงินค่าโฆษณา ไปเท่านี้ แล้วได้ยอดขายกลับมาเท่าไร ซึ่งการวัดผลนี้ คุณเองนั่นแหละที่จำเป็นต้องบันทึกครับ
สนใจรับคำปรึกษาด้านการตลาดออนไลน์ การเพิ่มยอดขาย
*** วิเคราะห์เพจฟรี เพียงพิมพ์ลิ้งเพจพร้อมเบอร์โทรติดต่อกลับไว้ในคอมเม้น ***
.
คลิก -> http://nav.cx/5dYmFFC
Line:@adsidea (อย่าลืมพิมพ์ @ ด้วยนะครับ )
website : https://www.adsidea.co/
โทร 0803906406
รับให้คำปรึกษาการตลาด และการขาย แบบส่วนตัวเฉพาะธุรกิจของคุ