ยุคที่ Data มีค่ามหาศาล
Hilights
- เดือนพฤษภาคม 2563 พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนตัวบุคคลจะเริ่มมีผลบังคับใช้ การเก็บข้อมูลของลูกค้าจะต้องได้รับการยินยอมจากลูกค้าก่อนเสมอ หากฝ่าฝืนจะได้รับโทษทางกฎหมายและเสียค่าปรับ
- เจ้าของธุรกิจต้องให้ความสำคัญเรื่องการเอาข้อมูลของลูกค้ามาเปิดเผยมากขึ้น เพราะเป็นสิ่งที่ลูกค้าเริ่มให้ความสำคัญมากในปีนี้แบรนด์ไหนที่ไม่น่าไว้วางใจพวกเขาจะปัดพวกคุณทิ้งทันที
- ข้อมูลเป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สามารถสร้างรายได้ให้กับธุรกิจของพวกคุณได้ หากนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสมกับแบรนด์ของคุณ
“รู้เขารู้เรา” ยังเป็นสุภาษิตที่ยังคงใช้ได้ในการทำการตลาดในปัจจุบันได้เป็นอย่างดีครับ ยิ่งในยุคที่พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว คนที่จะประสบความสำเร็จได้ในตอนนี้จะต้องเข้าใจและเรียนรู้ถึงพฤติกรรมความต้องการของผู้บริโภคอย่างลึกซึ้งที่สุด พร้อมกับวางแผนการเดินทางในอนาคตให้ได้อย่างถูกต้องและเกิดการผิดพลาดให้น้อยที่สุดด้วยครับ
ซึ่งในปีที่ผ่านมาแบรนด์ต่าง ๆ เริ่มนำข้อมูลของผู้บริโภคมาใช้ประโยชน์ในธุรกิจของตัวเองมากขึ้น เพื่อเป็นการกระตุ้นในเรื่องของยอดขาย และนำมาพัฒนาคุณภาพของแบรนด์ให้เป็นที่ต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น และในปีนี้บอกได้เลยครับว่า “Data” จะยิ่งมีอิทธิพลอย่างมากและมีความซับซ้อนขึ้นอีกหลายเท่าเลยล่ะครับ อย่างที่ผมได้บอกไปว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และในฐานะที่เราเป็นเจ้าของธุรกิจจะทำอย่างไรกับข้อมูลที่อยู่ในมือเราและจะนำข้อมูลเหล่านั้นมาพัฒนาแบรนด์ให้เข้าถึงเข้าใจลูกค้าได้อย่างไรวันนี้ผมมีคำตอบมาให้ทุกคนครับ
ยุคที่ Data มีค่ามหาศาล กำลังจะกลับมา
อย่างที่ทุกคนรู้กันดีว่าข้อมูลเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดในการวางแผนเริ่มต้นธุรกิจ และในปีที่ผ่านมาหลายธุรกิจเริ่มมีการปรับตัวในการเอา ดาต้า หรือ ข้อมูล มาใช้ประโยชน์ตั้งแต่ร้านค้าปลีกไปจนถึงธุรกิจใหญ่ ๆ เช่น Lazada Shopee เป็นต้น และในปีนี้เราจะได้เห็นการทำงานของคนน้อยลงและมีการเอานำระบบ AI หรือระบบอัตโนมัติเข้ามาช่วยงานมากขึ้น เพราะข้อมูลบางอย่างยากเกินกว่าที่คนสามารถทำได้และพวกมันยังสามารถทำงานได้รวดเร็วและถูกต้องแม่นยำกว่า แถมยังลดต้นทุนให้กับธุรกิจได้อีกมากเลยล่ะครับ
ผมได้ไปอ่านเจอผลสำรวจของ ร๊อบ เนเวล รองประธานฝ่ายพัฒนาวิศวกรรมโซลูชั่น เซลส์ฟอร์ซ ภูมิภาคเอเชีย ผลสำรวจความพึงพอใจของลูกค้า “State of the Connected Customer” พบว่า 89% ผู้บริโภคที่ไว้วางใจแบรนด์พวกเขาจะภักดีต่อแบรนด์ อีก 78% จะภักดีต่อแบรนด์ที่แสดงความโปร่งใสในการใช้ข้อมูลของพวกเขา และอีก 65% พวกเขาจะหยุดซื้อหรือรับบริการจากธุรกิจ หรือแบรนด์ที่พวกเขามองว่ามีการกระทำที่ไม่น่าไว้วางใจ
ผมจึงมองว่าในปีนี้สิ่งที่เจ้าของธุรกิจต้องใส่ใจอย่างเคร่งครัดคือ ความซื่อตรง โปร่งใสในแบรนด์ของตัวเองให้มากที่สุด เพราะมันจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะทำให้ลูกค้าเกิดความไว้วางใจแบรนด์และเกิดความภักดีต่อแบรนด์ของคุณได้
แต่ทั้งนี้สิ่งที่ธุรกิจควรทำอีกอย่างก็คือ การจะนำข้อมูลของลูกค้ามาเปิดเผยนั้นต้องให้ลูกค้าเป็นผู้ตัดสินใจเองว่าพวกเขาต้องการจะเปิดเผยข้อมูลนั้นหรือไม่ สิ่งที่พวกคุณควรทำคือต้องอธิบายให้ลูกค้าเข้าใจถึงนโยบายความปลอดภัยของบริษัท เพื่อเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นว่าคุณจะรักษาข้อมูลความเป็นส่วนตัวของพวกเขาอย่างดี และจะไม่แชร์ข้อมูลของพวกเขาหากยังไม่ได้รับอนุญาตนั่นเองครับ
ตอนนี้ไม่ใช่แค่เราที่หันมาใส่ใจกับเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูล แต่ภาครัฐก็ยังให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ด้วยเช่นกันครับ เพราะในเดือนพฤษภาคม 2563 นี้ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนตัวบุคคลจะเริ่มมีผลบังคับใช้ การเก็บข้อมูลของลูกค้าจะต้องได้รับการยินยอมจากลูกค้าก่อนเสมอ และต้องแจ้งถึงวัตถุประสงค์ของการนำข้อมูลไปใช้ด้วยว่าจะเอาไปทำอะไรบ้าง
หากฝ่าฝืนไม่แจ้งให้ลูกค้าทราบก่อนจะได้รับโทษทางกฎหมายและมีค่าปรับ นอกจากพวกคุณจะเสียทรัพย์แล้ว ธุรกิจของคุณเองก็จะเสียความเชื่อมั่นและความไว้วางใจต่อลูกค้า ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะสร้างความประทับใจต่อลูกค้าและรอยัลตี้ด้วยนะครับ
แนวทางพัฒนาแบรนด์ด้วย Data
ทุกคนเคยได้ยินคำนี้กันไหมครับ “ข้อมูลเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่า สามารถสร้างรายได้ให้ธุรกิจมหาศาล” ใครที่มีข้อมูลของลูกค้ามาก ๆ ถือว่าเป็นสิ่งที่จะทำให้เราได้เปรียบกว่าแบรนด์อื่นแน่ ๆ ครับ แต่ข้อมูลเหล่านั้นพวกคุณต้องเอามาใช้ให้เป็นด้วยนะครับ ถึงจะเป็นประโยชน์และสามารถพัฒนาแบรนด์ของคุณได้ และข้อมูลที่ได้มานั้นพวกคุณจะเอาไปพัฒนาแบรนด์ได้อย่างไรบ้างนั้น วันนี้ผมมีคำตอบให้ครับ
1.ทำโฆษณาได้อย่างถูกกลุ่มเป้าหมาย
ยิ่งเรามีข้อมูลเยอะเท่าไหร่ เราก็จะสามารถคัดคนที่ใช่หรือไม่ใช่ออกไปได้ และมันจะทำให้เราทำโฆษณาได้ถูกกลุ่มเป้าหมายมากขึ้นครับ อย่างที่รู้กันดีครับว่า การยิงโฆษณามัวแบบไม่สนว่ากลุ่มเป้าหมายเราคือใครสุดท้ายมันจะเสียงแรงและเสียประโยชน์เปล่า ๆ ครับ เพราะคุณมีเวลาแค่ไม่กี่เสี้ยววินาทีเท่านั้นที่คนจะเห็นโฆษณาของคุณ และตัดสินใจว่าจะดูหรือไม่
ดังนั้นการกำหนดกลุ่มเป้าหมายว่าใครคือลูกค้าที่ต้องการสินค้าหรือบริการของเราจริง ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้าเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากที่จะทำให้เราสามารถส่งโฆษณาหรือบริการของเราไปยังพวกเขาได้
2.เข้าใจขั้นตอนการตัดสินใจซื้อของลูกค้า
การเข้าใจการเดินทางก่อนการตัดสินใจซื้อสินค้าของลูกค้าตั้งแต่ขั้นตอน เหตุผลการซื้อ ไปจนถึงซื้อเมื่อไร ราคาเท่าใด ข้อมูลเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นมาก ๆ เลยครับ เพราะมันจะช่วยให้คุณสามารถเลือกช่องทางการตลาดในการเข้าถึงลูกค้าได้เหมาะสม แถมยังเพิ่มโอกาสเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจคุณอีกด้วยครับ
ตัวอย่างเช่น
ธุรกิจของนาย A ลูกค้าหาข้อมูลและตัดสินใจซื้อผ่าน Facebook เป็นหลัก ส่วนธุรกิจของนาย B ลูกค้าหาข้อมูลและตัดสินใจซื้อผ่าน IG เป็นหลัก จึงสามารถบอกได้ว่าทั้งสองธุรกิจจะต้องใช้กลยุทธ์การตลาดผ่านช่องทางที่ต่างกัน จึงจะสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าของแบรนด์ตัวเองได้
จะเห็นได้ว่าการนำข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อของลูกค้ามาใช้จะช่วยให้พวกคุณทำการตลาดได้อย่างถูกจุด และเข้าถึงลูกค้าได้อย่างตรงกลุ่มเป้าหมายได้นั้นเองครับ
3.เพิ่มยอดขายด้วยคอนเทนต์ที่ตรงจุด
ยิ่งเรามีฐานข้อมูลเยอะเท่าไหร่ ก็จะทำให้เรารู้ว่าเรื่องไหนที่ลูกค้าของเราสนใจ น้ำเสียงหรือคำพูดแบบไหนที่สามารถดึงดูดพวกเขาได้ และคอนเทนต์ประเภทไหนที่พวกเขาเห็นแล้วอยากจะซื้อ ซึ่งแน่นอนครับว่า เป้าหมายของนักธุรกิจทุกราย คือ “ยอดขาย” ดังนั้นการสร้างคอนเทนต์ที่สามารถดึงดูดพวกเขาได้ ต้องมาจากข้อมูลความชอบของลูกค้าที่เรามีและหามาได้ ควรใช้ข้อมูลพวกนี้ให้เป็นและเกิดประโยชน์ที่สุด ผมรับรองได้เลยครับว่า ยอดขายถล่มทลายแน่นอน
4.กระตุ้นลูกค้าเก่าให้กลับมาซื้อซ้ำอีกครั้ง
แน่นอนครับว่าคุณจะต้องมีข้อมูลการซื้อสินค้าของลูกค้าเก่าที่เคยซื้อสินค้าจากคุณไปแล้ว จะดีกว่าไหมหากคุณเอาข้อมูลพวกนั้นดึงลูกค้าที่เคยซื้อสินค้าของพวกคุณไปแล้วกลับมาซื้อซ้ำอีกครั้ง
ตัวอย่างเช่น
บริษัทเครื่องสำอางส่งส่วนลดหรือโปรโมชั่นให้กับลูกค้าที่พึ่งซื้อสินค้าจากร้านไป จูงใจให้ลูกค้าอยากกลับมาซื้อสินค้าอีกครั้ง และแน่นอนว่าเมื่อพวกเขากลับมาซื้อคงไม่ใช่สินค้าแค่เพียงชิ้นสองชิ้นแน่นอน พวกเขาอาจได้สินค้าแบบอื่นกลับไปเพิ่มด้วย เช่น ลิป แป้งพัฟ รองพื้น เป็นต้น แบบนี้เขาเรียกว่าการตลาดแบบ “ซื้อแล้ว ซื้ออีก” นั่นเองครับ
ธุรกิจแต่ละธุรกิจล้วนมีข้อมูลลูกค้าเป็นของตัวเองอยู่แล้วครับ มันอยู่ที่ว่าพวกคุณจะมองเห็นหรือนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์กับแบรนด์ของคุณได้มากแค่ไหน ยิ่งมีข้อมูลมากและสามารถเอาข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ให้เป็นจะทำให้คุณได้เปรียบกว่าคนอื่นแน่นอนครับ แต่สิ่งที่พวกคุณจะลืมไม่ได้เลยคือ การเปิดเผยข้อมูลหรือเอาข้อมูลของลูกค้ามาใช้ต้องได้รับการยินยอมจากลูกค้าก่อนนะครับ อย่าเอามาใช้ถ้าพวกเขายังไม่อนุญาตไม่งั้นงานเข้าแน่ ๆ
แนวทางที่ผมเสนอมาอาจจะเป็นเพียงไม่กี่แนวทางที่คุณสามารถทำได้ แต่สิ่งที่ผมอยากให้คุณสนใจมาก ๆ คือ การใช้ Data ในการทำธุรกิจเป็นสิ่งที่จำเป็นมากในปีนี้ ไม่ใช่ว่าการทำมาร์เก็ตติ้งหลายช่องทางจะไม่สำคัญ แต่ทั้ง data และ Marketing จะต้องไปด้วยกัน หากวันนี้คุณมุ่งเน้นแต่การทำการตลาดจนลืมใส่ใจเรื่องของ การใช้ data ผมว่าถึงเวลาแล้วครับที่นักการตลาดแบบเราจะต้องหันมาสนใจเรื่อง Data กันอย่างจริงจังก่อนที่จะเป็นเราเสียเองที่วิ่งตามคนอื่นเขาไม่ทัน
10 Marketing Trends ที่คุณต้องรู้สำหรับปี 2020
ติดตามเรื่องราวของการตลาดออนไลน์ได้ในช่องทางต่อไปนี้
Web site : https://www.adsidea.net
Facebook : Adsidea ที่ปรึกษาการตลาดออนไลน์ สร้างยอดขายง่ายนิดเดียว
Line : http://line.me/ti/p/%40adsidea